Back-end developer คือ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่เน้นการสร้างและบำรุงรักษาส่วนหลังของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน เช่น การจัดการฐานข้อมูล การประมวลผลข้อมูล และการจัดการการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ ทำให้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ทำงานได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ
งานของ Backend Developer เน้นการจัดการข้อมูล, ทำงานกับฐานข้อมูล, สร้าง API, และการบริหารเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ทำงานได้ตามที่ต้องการ ภาษาที่ใช้ในการพัฒนามักเป็น Python, Ruby, Java, PHP, หรือ Node.js ผู้ใช้ฝั่ง user ไม่จำเป็นต้องรู้ถึงรายละเอียดเทคนิคของการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ เพราะส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นที่การสื่อสารระหว่าง Backend และ Frontend ให้ได้รายละเอียดและประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม
Backend หรือส่วนหลังบ้านของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันสามารถใช้ภาษาและ Framework ต่าง ๆ ได้ตามความต้องการและความเหมาะสมของโปรเจกต์ เมื่อพูดถึงภาษาและ Framework ที่ใช้สำหรับการพัฒนา Backend บางอันได้แก่
1. Java: มี Framework อย่าง Spring ที่เป็นที่นิยมสำหรับการพัฒนา Backend ในโลกของภาษา Java.
2. Python: Flask และ Django เป็น Framework ที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับพัฒนา Backend ด้วย Python.
3. JavaScript: Node.js เป็นภาษา JavaScript ที่สามารถใช้ในการพัฒนา Backend โดยใช้ Framework เช่น Express.js.
4. Ruby: Ruby on Rails เป็น Framework ที่มีชื่อเสียงสำหรับการพัฒนา Backend ด้วย Ruby.
5. PHP: Laravel เป็น Framework ที่ได้รับความนิยมสำหรับการพัฒนา Backend ด้วย PHP.
6. Go: Go หรือ Golang มี Framework เช่น Gin หรือ Echo ที่ใช้สำหรับการพัฒนา Backend ได้.
สำหรับนักพัฒนา Backend นั้น หน้าที่หลักๆ คือการพัฒนาและบริหารจัดการกับส่วนของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่อยู่ภายในเซิร์ฟเวอร์ โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการข้อมูล การประมวลผล และการติดต่อสื่อสารระหว่างฝั่ง Frontend และ Database หรือ Services ต่างๆ ตามที่ต้องการ
นักพัฒนา Backend ต้องมีความรู้และความเข้าใจในภาษาโปรแกรมมิ่งต่างๆ เช่น JavaScript ❨Node.js❩, Python, Java, PHP, หรือ Go รวมถึงความเข้าใจในระบบฐานข้อมูลเช่น MySQL, PostgreSQL, MongoDB เป็นต้น
นอกจากนี้ ความเข้าใจในการออกแบบและสร้าง API และการจัดการกับความปลอดภัยของระบบก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพและปลอดภัยตามมาตรฐาน
การทำงานในส่วนของ Backend ยังเกี่ยวข้องกับการเขียนโค้ดที่มีประสิทธิภาพและ scalable ในระดับที่ใหญ่พอที่จะรองรับการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังต้องมีความสามารถในการตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในระบบอย่างรวดเร็ว